อาการตกขาวเป็นเรื่องปกติที่เกิดได้ในช่วงที่มีการตกไข่ หรือกลางรอบเดือน (เช่น มีประจำวันที่ 28 จะมีตกขาวเนื่องจากไข่ตกวันที่ 14 ของเดือน) ซึ่งสำหรับผู้หญิงทั่วไปอาการจะหายได้เองเพราะเป็นเรื่องที่เกิดจากธรรมชาติของวงจรฮอร์โมนในร่างกาย
แต่สำหรับสุภาพสตรีบางท่าน ปัญหาโรคตกขาวผิดปกติกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคภัยร้ายแรง เช่น มะเร็งในอวัยวะเพศได้เช่นกัน
ในทางการแพทย์แล้ว ตกขาวตามธรรมชาติทั่วไปจะมีลักษณะใสไม่มีสี แต่ในบางช่วงของรอบเดือนจะมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก หากมีความผิดปกติไปจากนี้มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อต่าง ๆ คือ
- ติดเชื้อทีวาจินาลิส (T.vaginalis) เป็นพยาธิชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตรงช่องคลอด ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ตกขาวมีลักษณะเป็นสีเขียว เหม็นเปรี้ยว มีฟอง และทำให้เกิดความรู้สึกคัน บวมแดงที่ช่องคลอดได้
- ติดเชื้อเริม H.simplex ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ติดจากทางเพศสัมพันธ์ ทำให้ตกขาวเป็นสีเหลือง ๆ มีกลิ่นเหม็น และยังปรากฏตุ่มน้ำใสขนาดเล็กบนผิวหนังบริเวณช่องคลอดได้ หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นตุ่มแตกทำให้แสบคันอย่างมาก
- ติดเชื้อแบคทีเรีย N.gonorrhoeae ซึ่งเรียกทั่วไปว่า เชื้อหนองใน ทำให้ตกขาวเป็นสีเหลืองเช่นเดียวกับติดเชื้อเริม แต่จะมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ และไม่มีตุ่มใส-ตุ่มแตกหรืออาการคันอย่างเชื้อเริม
- ติดเชื้อหนองในเทียม หรือคลาไมเดีย (Chlamydia) เป็นพยาธิที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้มีหนองออกจากอวัยวะเพศ ร่วมกับตกขาวสีเหลือง ทำให้มีอาการคันเคืองอวัยวะเพศร่วมกับเจ็บเวลาปัสสาวะด้วย
- ความไม่สมดุลของแบคทีเรียเฉพาะที่บริเวณช่องคลอดชนิด B.vaginosis ทำให้ตกขาวเป็นสีเทา ๆ และมีปริมาณมากผิดสังเกต มีกลิ่นเหม็นฉุนคล้ายปลาเค็ม มักเกิดจากการสวนล้างช่องคลอดบ่อย ๆ หรือ กินยาฆ่าเชื้อเช่น ยารักษาสิว เป็นเวลานาน
- ติดเชื้อราแคนดิดา (Candida) ทำให้ตกขาวมีลักษณะคล้ายนมบูด กลิ่นเหม็นอับ ไม่คาว ที่สำคัญคือมีอาการคันอย่างมาก เกิดจากร่างกายเสียสมดุลค่ากรดด่างในช่องคลอด พบบ่อยในผู้กินยาฮอร์โมนคุมกำเนิด หรือเป็นโรคเบาหวาน
- มีเลือดปนตกขาว ทำให้ตกขาวเป็นสีน้ำตาล ซึ่งมักพบกับสตรีที่ตั้งครรภ์แบบท้องนอกมดลูก หรือเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งต้องรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
จะเห็นได้ว่า โรคตกขาวผิดปกติมีหลายสาเหตุ ซึ่งทำให้มีลักษณะอาการ สี กลิ่น อาการตุ่ม คัน ที่แตกต่างกัน หากพบความผิดปกติของตกขาว ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรร้านยา เพื่อรีบรักษาที่ตรงสาเหตุโดยไว
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก : https://www.freepik.com/index.php?goto=74&idfoto=2361588