มนุษย์ทำงานทุกคนไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ทั้งพนักงานบริษัท ครู อาจารย์ ข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการล้วนต้องประสบปัญหาความเครียดจากการทำงานทุกคน ไม่ว่าจะมาจากผู้บัญคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ลูกน้องหรือลูกค้า คู่ธุรกิจที่เราต้องติดต่อประสานงานด้วย สิ่งเหล่านี้เมื่อต้องประสบพบเจอหรือสะสมไปเรื่อย ๆ อย่างก่อให้เกิดโรคเครียดได้ ซึ่งโรคเครียดนับเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาตนเอง เพราะเมื่อเครียดหรือเกิดความกดดันมากเกินไป ขีดความสามารถลศักยภาพของคนเราก็ย่อมต้องลดลง การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ไม่มีประสิทธิผล และรวมถึงการลดประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งในครั้งนี้ขอเสนอวิธีในการแก้โรคเครียดในที่ทำงานอย่างง่าย ๆ มาสัก 10 วิธี ดังนี้
- เปลี่ยนสถานที่หรือหยุดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเครียด
ด้วยการออกไปเดินเล่นหรือหยุดพักสายตาจากงานที่ทำอยู่สักครู่ การวางมือจากงานที่กำลังเคร่งครัวจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นได้ และบางครั้งก็ทำให้เราคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย - เปลี่ยนอิริยาบถบ้างสิ
เช่น ขยับท่าทางหรือลุกขึ้นยืน อาจใช้วิธีการเดินมองสิ่งต่าง ๆ เพื่อเบนความสนใจตนเองไปยังเรื่องอื่น เพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้นไปสักพักหรือโดยการฝึกสมองพัฒนาตนเองด้วยการอ่านหนังสือ หรือแหล่งข่าวที่เช่วยเสริมเนื้อหาหรือมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงานบางครั้งการเปลี่ยนอิริยาบถยังรวมถึงการยืดเส้นยืดสาย เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่เกิดจากการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือยืนนานจนเกินไปได้อีกด้วย - ทานขนมขบเคี้ยว ผลไม้หรือเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกสดชื่น
บางครั้งการได้ดื่มกินอะไรที่หวาน ๆ เย็น ๆ ก็ช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ดังนั้น คุณจึงควรมีสิ่งเหล่านี้ติดโต๊ะติดตัวเอาไว้บ้าง เวลานั่งประชุมนานจนเครียดก็เอาใส่ปากสักที นอกจากจะช่วยคลายเครียดแล้วยังช่วยแก้ง่วงได้อีกด้วย - สูดกลิ่นหอม ๆ ดู
กลิ่นหอมของดอกไม้หรือเครื่องหอมต่าง ๆ สามารถปลุกสมองและประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว และสร้างความรู้สึกสดชื่นได้ และช่วยกระตุ้นจิตใจให้มีพลังกล้าแข็งยิ่งขึ้น กลิ่นหอมบางชนิดยังช่วยลดความเครียดและสร้างสมาธิได้เป็นอย่างดี หากคุณมีข้อจำกัดในการฉีดกลิ่นน้ำหอมในที่ทำงาน เนื่องจากเป็นห้องทำงานร่วม ให้ลองใช้วิธีหยดน้ำหอมที่เราชอบลงบนผ้าเช็ดหน้า พอรู้สึกเครียดก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาสูดดมสักครั้งก็จะช่วยเราได้มาก แต่หากคุณมีห้องส่วนตัวสามารถจุดธูปหอมหรือใช้น้ำมันหอมระเหยให้ลองใช้ในขณะทำงานดู เพราะกลิ่นหอมจะช่วยให้เรามีสมาธิสามารถพัฒนาตนเองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น - หาเรื่องขบขันมาอ่านหรือสร้างอารมณ์ขันให้ตนเองบ้าง
หลังการประชุมหรือคิดงานโปรเจกท์มานาน ๆ หากคุณสามารถหาเรื่องขำ ๆ มาอ่าน หรือคุยกับเพื่อนร่วมงานด้วยเรื่องขำ ๆ ดูบ้าง ก็จะช่วยคลายเครียดที่เกิดขึ้นได้ และยังเป็นการกระตุ้นจิตให้รู้สึกด้วยการหัวเราะได้อีกด้วย ดังคำกล่าวที่ว่าการหัวเราะเป็นยาวิเศษ คุณจึงลองหาเรื่องขำมาสร้างเสียงหัวเราะให้ตนเองดู แล้วคุณจะพบว่าการหัวเราะเพียงเล็กน้อยจะช่วยปรับอารมณ์และความคิดของคุณได้เป็นอย่างดี ทำให้คุณพร้อมที่จะพบกับภาวะที่ตึงเครียดใหม่ได้อีกครั้ง - ลองหาเพลงเบา ๆ ฟังสบายมาเปิดฟัง
โดยเฉพาะเพลงแนวธรรมชาติบำบัดหรือเพลงบรรเลง เพราะเพลงเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจสงบเกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้ ยิ่งหากสามารถฝึกสมาธิระหว่างการฟังเพลงแบบนี้ไปด้วยกันได้ ก็ยิ่งเป็นการสร้างศักยภาพในการควบคุมอารมณ์ ควบคุมความเครียด ก่อให้เกิดเป็นพลังในการพัฒนาตนเองได้อีกด้วย - ลองท่องโลกโซเซียล
ไปคุยเล่นกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวดูบ้าง ซึ่งเป็นการหยุดพักความคิดของตนเองจากงานการที่กำลังเคร่งเครียด รวมถึงสภาวะแวดล้อมที่กำลังก่อให้คุณเกิดความเครียดอยู่ได้เป็นอย่างดี แต่ก็อย่านานหรือบ่อยจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เสียงาน และเกิดความไม่ชอบใจกับหัวหน้างานได้เช่นกัน - หารูปสวย ๆ แนวธรรมชาติหรือสัตว์ที่น่ารัก ๆ มาตั้งบนโต๊ะทำงาน
เมื่อรู้สึกเครียดหรือกดดันก็ให้มองรูปภาพเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ผ่อนคลายหรือบางคนอาจจะใช้รูปครอบครัว รูปสัตว์เลี้ยงมาช่วยลดความเครียดก็ได้เช่นกัน เคยมีเพื่อนบ้างคนเล่าว่าเวลาเครียดมาก ๆ จะเอารูปลูกมาดู ให้นึกถึงภาระและคนที่รออยู่จะได้มีแรงฮึดสู้และฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ต่อไปได้ หรือบางคนอาจใช้รูปโครงการในฝัน เช่น บ้านในฝัน สถานที่เที่ยวที่อยากไป ร้านหรือกิจการในฝันมาสร้างแรงบันดาลใจและลดความเครียดในการทำงานก็ได้เช่นกัน - พักสายตาจากสิ่งต่าง ๆ ลงบ้าง
หากมีเวลาหรือสถานที่ทำงานไม่เคร่งครัดมาก คุณอาจคลายเครียดด้วยการหลับตาเพื่อพักสายตาลงบ้าง หากสามารถงีบหลับได้ อาจลองใช้การงีบหลับมาลดความเครียดในที่ทำงานดู ซึ่งการพักผ่อนจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นขึ้นมาก ทำให้พร้อมที่จะรับแรงกดดันในครั้งต่อไปได้ดียิ่งขึ้น - มองออกไปไกล ๆ หรือพักความคิดจากสิ่งที่กำลังเคร่งเครียดไปเพ่งความคิดหรือเหตุการณ์ข้างหน้าแทน
เป็นการปรับความคิดและพักสมองจากสิ่งที่กำลังเคร่งเครียดอยู่ บางครั้งการหยุดกดดันตนเองก็จะช่วยให้มองเห็นแนวทางหรือวิธีในการแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น และการคาดการณ์ล่วงหน้ายังจะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาหรือความกดดันที่เกิดขึ้นได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
ดังจะเห็นแล้วว่าความเครียดสามารถเกิดได้กับทุกคน ในสถานการณ์หรือสาเหตุที่แตกต่างกันไป โดยความเครียดเกิดจากสภาวะที่เรากดดันสมองให้สั่งการในลักษณะที่ร่างกายต้องตอบสนองกับสิ่งเร้าต่าง ๆ อย่างฉับไวทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายทั้งระบบประสาท อัตราการเต้นของหัวใจและรวมถึงระบบการหายใจที่ผิดไปจากเดิมได้ เมื่อสะสมนานเข้าก็จะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและการตอบสนองของร่างกายได้ ทำให้สมองขาดศักยภาพในการพัฒนาตนเองได้
อาการที่แสดงให้เห็นว่าเราเกิดความเครียดมีข้อสังเกต ดังนี้
- น้ำหนักร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- ปวดศีรษะได้ง่ายหรือมีอาการปวดไมเกรน
- ภาวะความดันต่าง ๆ ผิดปกติ รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจ
- นอนไม่ค่อยหลับ มักมีอาการกระสับกระส่ายหรือหลับไม่ลึกเท่าที่ควร
- มีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย มักหาเรื่องทะเลาะกับคนรอบข้างอย่างไม่มีเหตุผลอยู่เนือง ๆ
- ประสิทธิภาพในการทำงานหรือควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ลดลง
หากคุณมีอาการเหล่านี้มากกว่า 3 ข้อ แสดงว่าคุณกำลังเป็นโรคเครียดเสียแล้ว ซึ่งทางแก้ที่ดีที่สุดควรหาสาเหตุแห่งความเครียดและแก้ไขที่สาเหตุ การพัฒนาตนเองด้วยการฝึกจิตสำรวจจิตใจอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้ หรือหากเครียดจนทนไม่ไหวจริง ๆ การออกไปเที่ยวเปิดหู เปิดตารับประสบการณ์ใหม่ ๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ลงไปได้ สิ่งทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นอย่างมีสาเหตุ การถอยออกมาเพื่อช่วยให้เราเห็นภาพต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น ก็ย่อมจะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและลดภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นกับเราได้เป็นอย่างดี